วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555


โทษประหารชีวิตในปัจจุบัน

การฉีดสารพิษเข้าร่างกาย

วิธีการประหารชีวิตแบบนี้ เป็นการฉีดสารพิษเข้าไปในร่างกายของนักโทษ การประหารวิธีนี้ถูกใช้ใน รัฐเทกซัส และ ในรัฐอื่น ๆ มีวิธีการเป็น 3 ขั้นตอน
  • ขั้นตอนที่ 1 ฉีดสารโซเดียมไทโอเพนทอล หรือสารบาร์บิทูเรตเพื่อทำให้นักโทษหมดสติ
  • ขั้นตอนที่ 2 ฉีดสารแพนคูโรเนียม โบรไมด์ (Pancuronium Bromide) เพื่อทำให้กล้ามเนื้อต่างๆผ่อนคลาย และมีผลให้ปอดและกระบังลมหยุดทำงาน
  • ขั้นตอนที่ 3 ฉีดสารโพแทสเซียมคลอไรด์ (Potassium Chroride; KCl) เข้มข้น เพื่อให้หัวใจหยุดทำงาน
หลายฝ่ายให้ความเห็นว่า "การประหารชีวิตด้วยการฉีดสารพิษนี้เป็นวิธีการที่มีมนุษยธรรมมากที่สุด" แต่นายแพทย์ กล่าวว่า วิธีการประหารชีวิตวิธีนี้จะกระทำได้ยาก ถ้าหากว่านักโทษผู้นั้นติดยาเสพติดซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักโทษประหาร โดยใช้วิธีนี้กรมราชทัณฑ์ รัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา เรือนจำทหาร และเรือนจำแต่ละรัฐอีก 32 รัฐ ได้ใช้วิธีนี้ ในการประหารชีวิตนักโทษ ปัจจุบันประเทศไทยใช้วิธีการประหารชีวิตแบบนี้

[แก้]การนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า

นักโทษจะต้องนั่งอยู่ที่เก้าอี้ซึ่งถูกสร้างโดยเฉพาะ นักโทษจะถูกโกนผมและขนตามร่างกายออกทั้งหมด เพื่อจะทำให้กระแสไฟฟ้าเข้าไปในร่างกายของนักโทษได้ง่าย เมื่อมีการเปิดกระแสไฟฟ้าร่างกายของนักโทษ ก็จะกระตุกโดยมีผ้าคาดรั้งตัวไว้เกิดอาการอาเจียน ปัสสาวะ อุจจาระ ออกทั้งหมด ผู้ที่เคยเห็นโทษประหารชีวิตด้วยวิธีการนี้กล่าวว่า จะได้กลิ่นไหม้ด้วย
ปริมาณ กระแสไฟฟ้าที่ใช้ในการประหารชีวิต จะแตกต่างกันไปตามระบบของแต่ละรัฐ โดยจะคำนึงถึงน้ำหนัก ตัวของผู้ต้องขังด้วย เช่น ในรัฐจอร์เจีย นักโทษประหารจะได้รับกระแสไฟฟ้า 2,000โวลต์. เป็นเวลา 4 วินาที จากนั้น 1,000 โวลต์. อีก 7 วินาที และ 208 โวลต์ อีก 2 นาที และนำศพไปแช่ในน้ำอุ่นต่ออีก3 นาที

[แก้]การประหารโดยการรมแก๊ส

นักโทษจะต้องอยู่ในห้อง หรือตู้ที่ไม่มีอากาศเข้าได้ และมีช่องใส่สารโพแทสเซียมไซยาไนด์ หรือ โซเดียมไซยาไนด์ ผสมกับกรดไฮโดรคลอริก จะทำให้เกิด แก๊สไฮโดรไซยานิก ซึ่งจะทำลายความสามารถในการผลิตฮีโมโกลบิลในเม็ดเลือด นักโทษจะหมดสติในเวลาไม่กี่วินาที และจะเสียชีวิตในเวลาอีกไม่นานนัก หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ซึ่ง สวมชุดและหน้ากากป้องกันแก๊สจะทำความสะอาดศพนักโทษ โดยปราศจากสารพิษ ในประเทศสหรัฐอเมริกามี 7 รัฐ ที่ใช้วิธีการประหารแบบนี้

[แก้]การแขวนคอ

เจ้าหน้าที่จะผูกเชือกที่คอของนักโทษประหาร จากนั้นประตูกลซึ่งอยู่ที่พื้นใต้นักโทษจะเปิดออก นักโทษก็จะตกลงไปซึ่งจะทำให้คอของนักโทษนั้นหักลง ทำให้นักโทษเสียชีวิตในทันที เพื่อป้องกันการที่คอนักโทษจะขาด เจ้าหน้าที่ต้องคำนวณ ความยาวของเชือกให้สัมพันธ์กับน้ำหนักตัวของนักโทษ รัฐวอชิงตัน และ รัฐเดลาแวร์ใช้วิธีการประหารชีวิตแบบนี้ ส่วนรัฐนิวแฮมป์เชียร์ จะใช้วิธีดังกล่าว ถ้าหากวิธีการฉีดสารพิษเข้าร่างกายถูกห้ามใช้

[แก้]การยิงเป้า

จะมีเจ้าหน้าที่ 5 คน ถือปืนเล็งไปที่นักโทษประหาร แต่บางคนจะถือปืนที่ไม่มีลูกกระสุน ดังนั้น จะไม่สามารถ ทราบได้ว่าเพชฌฆาต คือใคร
นักโทษชาย แกรรี่ กิลมอร์ ถูกตัดสินประหารชีวิตโดยวิธีการนี้ที่ รัฐยูทาห์ในปี 1977 ซึ่งนับเป็นนักโทษประหารชีวิตรายแรกของสหรัฐอเมริกา ที่ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าที่มีขึ้นในสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 1967 ปัจจุบันวิธีการนี้ยังมีใช้อยู่ในรัฐไอดาโฮ และ ยูทาห์ ส่วนในรัฐโอคลาโฮมา จะนำเอาวิธีการนี้มาใช้ถ้าหากวิธีการรมแก๊สถูกสั่งห้าม








การประหารชีวิต ถือเป็นบทลงโทษที่รุนแรงที่สุดในทุก ๆ ประเทศ ที่มีมาตั้งแต่อดีต
ซึ่งถ้าหากใครได้อ่านหรือศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ซักครั้ง คงจะรู้สึกไม่ต่างกันหรอกค่ะว่า
แม้ว่าในแต่ละประเทศจะมีเครื่องมือประหารชีวิตที่แตกต่างกันออกไป
แต่ความรุนแรง หรือความซาดิสม์นั้นไม่ได้ต่างกันเลย เพราะไม่ว่าจะใช้เครื่องมือไหน ๆ
ก็ล้วนแล้วแต่มีจุดประสงค์เดียวกัน นั่นคือทรมานคนผิดอย่างเลือดเย็นแล้วปล่อยให้เจ็บปวดตายไปในที่สุด
ไม่ว่าจะด้วยการฉีกจ้วงเนื้อหนังด้วยของมีคม ลวกหรือต้มด้วยน้ำร้อน เผาทั้งเป็น
หรือแม้แต่การบีบทุบให้เจ็บปวดจนตายกันไปข้างหนึ่ง เหล่านี้ถือเป็นวิธีพื้นฐานที่ทั่วโลกทำกันทั้งนั้นค่ะ

และสำหรับในประเทศไทยก็เช่นกัน โทษประหารที่เคยทำกันมาตั้งแต่อดีตนั้นขึ้นชื่อว่าโหดใช่ย่อย
เริ่มตั้งแต่สมัยก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ วิธีการประหารชีวิตจะเน้นความทรมานชนิดที่ได้ยินแล้วยังขนลุก
ไม่ว่าจะเป็นการเอาน้ำมันเดือดราดหัวจนตาย เอามีดและขวานผ่าอกแหวกตับไตไส้พุงทั้งเป็นจนตาย
เอาเบ็ดใหญ่เกี่ยวเนื้อให้หลุดทีละส่วนจนตาย เอามีดคม ๆ แล่เนื้อลอกหนังออกทีละนิดจนตาย
เอาหอกค่อย ๆ ทิ่มแทงจนตาย หรือฝังดินครึ่งตัวแล้วเผาส่วนบนจนทรมานตาย โอ้ นรกดี ๆ นี่เอง

ซึ่งโทษแสนทรมานในสมัยนั้น ก็จะตัดสินจากความผิดที่แตกต่างกันออกไป อย่างเช่นถ้าใครเผาบ้านเมือง
ก็จะถูกประหารด้วยการเอาผ้าชุบน้ำมันพันรอบตัวแล้วจุดไฟเผาทั้งเป็น อย่างงี้เป็นต้น และที่สำคัญ
การประหารชีวิตทุกรูปแบบก็จะต้องทำกันแบบโจ่งแจ้งต่อหน้าชาวบ้านมากมาย เพื่อให้คนเกรงกลัว
และมันก็ได้ผลดีเลยล่ะค่ะ เพราะเวลาที่มีการประหารนักโทษซักคน บ้านเมืองก็สงบสุขไปพักใหญ่ทีเดียว
เพราะไม่มีใครกล้าทำความผิด ไม่มีใครอยากถูกลงโทษอย่างทรมานอย่างที่ตัวเองไปเห็นมา
 
 
 
 
แต่พอมาถึงสมัยอยุธยาตอนปลายและรัตนโกสินทร์ การประหารด้วยวิธีทรมานสารพัดก็เริ่มค่อย ๆ หายไป
เหลืออยู่แค่วิธีเดียวง่าย ๆ นั่นคือ การตัดคอหรือกุดหัวเท่านั้น เป็นวิธีฉับเดียวดับ ไม่ทันได้ทรมานก็ตายแล้ว
แถมก่อนหน้าวันประหารก็ยังมีการเลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำอย่างดีอีก และพอถึงวันประหารนักโทษก็ถูกปิดตา
ไม่ต้องเห็นบาดแผล ไม่ต้องรู้ว่าใครกำลังจะทำอะไรเรา ไปแบบสบาย ๆ เลยทีเดียว
ส่วนถ้าใครอยากรู้เรื่องการประหารด้วยการตัดคออย่างละเอียด ย้อนกลับไปอ่านได้ เอนทรี่นี้ ค่ะ

และหากใครกำลังสงสัยว่า ถ้าหากฉับเดียวไม่ดับ นั่นจะไม่เรียกว่าทรมานได้อย่างไร
โอโห จะบอกว่าไม่มีเลยค่ะ เพราะเพชฌฆาตทุกคนนั้นถูกฝึกปรือมาเป็นอย่างดี และที่สำคัญ
ในการประหารนักโทษ 1 คน เค้าจะใช้เพชฌฆาตถึง 3 คน ซึ่งโดยปกติแล้ว ถ้าเพชฌฆาตดาบ 1 จะพลาด
ก็พลาดมากที่สุดแค่ตัดคอแล้วตายแต่คอดันไม่ขาด ซึ่งแบบนี้เพชฌฆาตดาบ 2 ก็จะรีบเข้ามาฟันให้ขาดทันที
ถ้ายังไม่ขาดอีกก็มีดาบ 3 สำรองไว้อีก ต้องเอาให้ขาดอย่างแท้จริงเพื่อที่จะเอาหัวไปเสียบประจานนั่นเอง
ส่วนร่างกายก็มอบให้ญาตินำไปทำพิธีต่อไป
 


ส่วนในกรณีที่นักโทษเป็นเชื้อพระวงศ์หรือกษัตริย์ ก็จะมีวิธีเฉพาะคือการทุบด้วยท่อนจันทน์
ที่ถือเป็นไม้หอม เป็นการให้เกียรตินักโทษ โดยการประหารด้วยท่อนจันทน์นี้ จะใช้วัดปทุมคงคาเป็นลานประหาร
ส่วนวิธีการ ก็คือ จะนำร่างของผู้ถูกประหารสวมด้วยถุงแดงแล้วรัดถุงให้แน่น เพื่อไม่ให้ใครแตะต้องพระวรกาย
และไม่ให้ใครเห็นพระศพด้วย จากนั้นเพชฌฆาตที่ได้รับนามเฉพาะว่า "หมื่นทะลวงฟัน"
ก็จะใช้ไม้จันทน์ขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายสากตำข้าวทุบลงไปสุดแรงบริเวณพระเศียรหรือพระนาภี
เสร็จแล้วก็นำไปฝังในหลุม 7 คืนเพื่อให้มั่นใจว่าสิ้นพระชนม์แล้วจริง ๆ ก่อนขุดขึ้นมาประกอบพิธีต่อไป
และหากใครสงสัยว่าทำไมไม่ใช้วิธีเปิดผ้าดูว่าสิ้นแล้วหรือไม่ ก็อย่างที่บอกไปค่ะว่าไม่ว่าจะอย่างไร
หลังจากนำนักโทษใส่ถุงแดงแล้วก็ห้ามเปิดให้ใครเห็นหรือแตะต้องพระวรกายโดยตรงได้เป็นอันขาด

วิธีการประหารชีวิตด้วยท่อนจันทน์ เลิกล้มไปในสมัยรัชกาลที่ 5 หลังจากมีการประกาศใช้กฎหมาย ร.ศ. 127
ว่า ให้ประหารชีวิตเชื้อพระวงศ์ด้วยวิธีเดียวกันกับสามัญชน ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นนักโทษ
และในที่สุด ในปี 2477 ก็ได้ล้มเลิกการประหารชีวิตด้วยการตัดหัวไป เปลี่ยนเป็นการใช้ปืนยิงแทน
โดยวิธีการยิงปืนประหารนี้ ก็จะมีขั้นตอนคล้ายกับการประหารชีวิตด้วยการตัดหัว ต่างที่การยิงปืนประหาร
จะทำในห้องประหารมิดชิด ไม่มีการเรียกประชาชนมามุงดูเหมือนกับการประหารชีวิตด้วยการตัดหัวอีกต่อไป

การประหารชีวิตด้วยปืนทำกันมาได้ไม่นานนัก เพราะเมื่อปี 2545 ได้เปลี่ยนวิธีการประหารชีวิตด้วยปืน
มาเป็นการฉีดยาแทน ซึ่งการฉีดยาจะมี 3 ขั้นตอน คือ ขั้นแรกจะฉีดยาให้นักโทษสลบก่อน
จากนั้นค่อยฉีดยาหยุดการทำงานของปอดและกระบังลม และสุดท้ายก็จะฉีดยาที่ทำให้หัวใจหยุดเต้น
เป็นอันเสร็จพิธี เรียกว่าสบายกว่าวิธีไหน ๆ ไม่ต้องตื่นเต้นว่าจะถูกสับหัวหรือยิงปืนเมื่อไหร่
และวิธีนี้ก็ยังเป็นวิธีที่ใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน

ทั้งหมดนี้คือวิวัฒนาการของการประหารชีวิตในสยาม ที่ดูเหมือนจะลดความทรมานลงทุกวัน ๆ
ขณะเดียวกันที่สถิติการประหารชีวิตก็ค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ ทั้งในไทยและหลายประเทศทั่วโลก
ซึ่งที่เป็นอย่างนั้นก็ไม่ใช่เพราะว่าคนเรามีคุณธรรมกันมากขึ้นแต่อย่างใด
แต่เป็นเพราะบทลงโทษในสังคมทุกวันนี้มันเบาลงเรื่อย ๆ ต่างหาก..

ยิ่งไปกว่านั้น ในยุคที่บทลงโทษในสังคมเบาลงทุกวัน ขณะที่โจรผู้ร้ายมีมากขึ้นแบบนี้
ก็ยังมีคนในหลายประเทศออกโรงต่อต้านการประหารชีวิตกันอย่างมากมาย เพราะเห็นว่ามันโหดร้าย
ก็ไม่แน่ว่า.. บางที โทษประหารอาจถูกล้มเลิกไปในอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้าก็เป็นได้


ในการดำเนินการประหารชีวิตด้วยการยิงเป้านั้น หลังจากที่เรือนจำกลางบางขวางได้รับคำสั่งจากสำนักนายกรัฐมนตรี หรือคำสั่งใดก็ตามที่มีอำนาจถูกต้องตามกฎหมาย ให้ดำเนินการประหารชีวิตนักโทษเด็ดขาดที่ถูกศาลตัดสินลงโทษประหารชีวิต 

เรือนจำจะมอบหมายหน้าที่ให้ฝ่ายทะเบียนประวัติผู้ต้องขัง ทำการตรวจสอบหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับนักโทษประหารว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันกับคำสั่งที่ให้ดำเนินการประหารชีวิตหรือไม่ เพื่อป้องกันการประหารผิดคน และเรือนจำจะออกคำสั่งแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการประหารชีวิต ได้แก่หัวหน้าชุดผู้ให้สัญญาณยิง 1 นาย พี่เลี้ยง 3 นาย เจ้าหน้าที่ถ่ายภาพ 1 นาย เจ้าหน้าที่ทะเบียน 2 นาย หัวหน้าฝ่ายทัณฑปฎิบัติ 1 นาย หัวหน้างานทัณฑปฎิบัติ 1 นาย พลเล็งปืน 1 นาย เพชฌฆาต 2 นาย (เพชฌฆาตมือหนึ่งและเพชฌฆาตมือสอง) 

โดยแจ้งเจ้าหน้าที่เหล่านั้นทราบอย่างเป็นความลับที่สุด เพื่อป้องกันมิให้นักโทษที่จะถูกประหารหรือญาติของนักโทษรู้ตัวล่วงหน้า ซึ่งอาจเกิดเหตุไม่พึงประสงค์ขึ้นได้เช่น การพยายามฆ่าตัวตายของนักโทษก่อนการประหาร หรือการพยายามชิงตัวนักโทษจากญาติและพวกพ้อง 

สมัยที่ยังมีการประกาศใช้กฎอัยการศึกอยู่ ได้เกิดคดีข่มขืนฆ่าขึ้นที่จังหวัดอุดรธานีและสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ เป็นพลเรือน 2 คน ทหาร 1 คน ซึ่งประจำการอยู่ที่โคราช 

ศาลทหารได้ตัดสินให้ลงโทษประหารชีวิตทั้งหมด ไม่สามารถอุทธรณ์หรือฎีกาใด ๆ ทั้งสิ้น 

นักโทษประหารที่เป็นทหารซึ่งถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำทหารโคราช ได้ใช้ขวดตีเป็นปากฉลามแล้วแทงตัวเองหวังที่จะฆ่าตัวตายเพื่อหนีโทษประหาร เรือนจำทหารจึงได้รีบนำตัวส่งเข้ารักษาเพื่อช่วยชีวิตเป็นการด่วน 

จากนั้นนำตัวขึ้นรถพยาบาลไปที่เรือนจำกลางอุดรธานี เพื่อทำการประหารชีวิตพร้อมคู่คดีอีก 2 คนที่เป็นพลเรือน (ทำผิดที่ไหนประหารที่นั้น) 

ซึ่งในความเป็นจริงแล้วถึงไม่นำตัวนักโทษที่พยายามฆ่าตัวตายผู้นั้นไปประหาร นักโทษผู้นั้นก็ต้องตายอยู่ดี เนื่องจากบาดแผลฉกรรจ์และเสียเลือดมาก 

แต่กฎหมายได้ระบุไว้ว่า “ผู้ต้องโทษประหารชีวิตให้นำไปยิงเสียให้ตายซึ่งด้วยปืน” จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงการประหารไปได้ และจะใช้อาวุธชนิดอื่นใดมาทำการประหารชีวิตก็ไม่ได้อีกเช่นกัน

เจ้าหน้าที่ชุดประหารเมื่อรับทราบคำสั่งแล้ว จะจัดเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่ใช้ในการประหารชีวิต เช่นอาวุธปืน กระสุน กุญแจมือ ดอกไม้ธูปเทียน ด้ายดิบ มีดตัดเชือก ฯลฯ ให้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะใช้งานได้ 

จากนั้นเรือนจำจะทำหนังสือแจ้งกรรมการ เพื่อขอให้มาเป็นพยานรับทราบการประหารชีวิตในวันนั้น ประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี อัยการจังหวัด ตัวแทนกรมราชทัณฑ์ แพทย์ ผู้กำกับการตำรวจสภ.อ.นนทบุรี โดยมีผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวางร่วมเป็นพยานด้วย รวมทั้งแจ้งไปที่กองทะเบียนประวัติอาชญากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(กรมตำรวจเก่า) เพื่อขอให้ส่งเจ้าหน้าที่พร้อมทะเบียนประวัติของนักโทษที่จะถูกประหาร มาร่วมตรวจสอบตัวบุคคลเพื่อป้องกันการผิดพลาด และพิมพ์ลายนิ้วมือของนักโทษทั้งก่อนและหลังการประหารตามระเบียบที่วางไว้

ขั้นตอนต่อไป จะนิมนต์พระสงฆ์จากวัดบางแพรกใต้ มาเทศนาธรรมแก่นักโทษ ถ้านักโทษประหารรายใดนับถือศาสนาอื่น ทางเรือนจำจะให้เวลาประกอบพิธีทางศาสนาของตน ในช่วงเวลาก่อนการประหารเช่นเดียวกันกับศาสนาพุทธ หลังจากได้นิมนต์พระสงฆ์ไว้แล้ว 

เจ้าหน้าที่ชุดประหารจะรอเวลาจนกว่าเจ้าหน้าที่เรือนจำตามแดนต่าง ๆ จะนำนักโทษทั้งหมดเข้าคุมขังภายในเรือนนอนให้เป็นที่เรียบร้อย ระหว่างที่รอ เจ้าหน้าที่ชุดประหารจะแยกกันไปสวดมนต์ใหว้พระหรือประกอบพิธีตามความเชื่อของแต่ละคน 

เมื่อถึงเวลาประมาณ 16.15 น. เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่พี่เลี้ยงพร้อมด้วยผู้อำนวยการส่วนควบคุมผู้ต้องขังหรือผู้ทำหน้าที่แทน จะเข้าไปเบิกตัวนักโทษประหารตามรายชื่อที่มีในคำสั่ง ภายในหมวดควบคุมนักโทษประหารแดน 1 แล้วนำไปที่หมวดผู้ช่วยเหลือและประสานงาน ซึ่งใช้เป็นสถานที่ดำเนินขั้นตอนก่อนการประหาร 

เริ่มจากการพิมพ์ลายนิ้วมือ ตรวจสอบตำหนิแผลเป็น ประวัติบุคคลเช่น พ่อ แม่ ลูก เมีย ว่าถูกต้องตรงกันหรือไม่ ทั้งจากเจ้าหน้าที่กองทะเบียนประวัติอาชญากร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนประวัติผู้ต้องขังของทางเรือนจำ 

จากนั้นเวรผู้ใหญ่ จะทำการอ่านคำสั่งให้ยกฎีกาของนักโทษประหาร ที่ได้ยื่นขอพระราชทานอภัยโทษไปแต่ไม่ผ่าน แล้วให้นักโทษเซ็นทราบในคำสั่ง 

หลังจากนั้นจะเปิดโอกาสให้นักโทษเขียนพินัยกรรมมอบทรัพย์สินของตนให้แก่ทายาทได้ตามต้องการ โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนร่วมเป็นสักขีพยาน รวมทั้งสามารถเขียนจดหมายสั่งเสียถึงลูก เมีย ญาติพี่น้องได้ตามสะดวก และเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนจะขอที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ เพื่อใช้ในการติดต่อแจ้งให้ญาติของนักโทษประหารทราบหลังการประหารเสร็จสิ้นแล้ว

ต่อจากนั้นจะเป็นรายการอาหารมื้อสุดท้าย ซึ่งทางเรือนจำได้จัดเตรียมไว้ให้ แต่ถ้าต้องการรับประทานสิ่งใดนอกเหนือจากที่ได้จัดให้ และเป็นอาหารที่หาได้ไม่ยากในบริเวณใกล้เคียงเรือนจำทางเจ้าหน้าที่จะจัดหามาให้ ยกเว้นสิ่งของต้องห้าม เช่น สุรา ยาเสพติด ซึ่งไม่สามารถจัดหาให้ได้อย่างเด็ดขาด 

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ พี่เลี้ยงจะพานักโทษประหารไปฟังเทศนาธรรมจากพระสงฆ์ที่ได้นิมนต์มา ภายในห้องเยี่ยมนักโทษสำหรับทนาย นักโทษประหารรายไหนนับถือศาสนาอื่น ทางเรือนจำจะให้เวลาในช่วงนี้ ประกอบพิธีทางศาสนาของตนเช่นกัน 

เมื่อเสร็จพิธีทางศาสนาแล้ว พี่เลี้ยงจะพาเดินไปยังห้องประหารหรือที่มีชื่อเรียกว่า “สถานที่หมดทุกข์” พี่เลี้ยงจะเข้าประคองแขนข้างละคน คอยปลอบขวัญให้กำลังใจ และป้องกันไม่ให้เกิดอาการคลุ้มคลั่งในระหว่างทาง 

ถ้านักโทษประหารเดินไม่ไหว พี่เลี้ยงจะจัดรถเข็นนั่งสำหรับคนป่วยให้ ส่วนใหญ่แล้วจะขอเดินไปเองเพื่อแสดงความเข้มแข็ง แล้วไปเกิดอาการเข่าทรุดเมื่อใกล้ถึงห้องประหารแทบจะทุกราย

เส้นทางเดินไปสู่ห้องประหารนั้นมีระยะทางประมาณ 400 เมตร ระหว่างทางจะผ่านศาลเจ้าพ่อเจตคุปต์ ซึ่งเป็นสถานที่เคารพบูชาของทุกผู้คนในเรือนจำ 

พี่เลี้ยงจะให้นักโทษประหารได้มีโอกาสกราบไหว้บริเวณหน้าศาลแห่งนี้ แล้วพาเดินต่อไปจนถึงศาลาแปดเหลี่ยม หรือมีชื่อเรียกว่า “ศาลาเย็นใจ” 

ศาลาแห่งนี้ตั้งอยู่หน้าห้องประหารพอดี ภายในศาลาเย็นใจมีโต๊ะและเก้าอี้ทาสีขาวตั้งอยู่อย่างละ 1 ตัว โดยหันหน้าเข้าหาอุโบสถวัดบางแพรกใต้ บนโต๊ะจะมีผ้าดิบและดอกไม้ธูปเทียนวางอยู่ตามจำนวนนักโทษที่จะนำเข้าประหาร 

เมื่อพี่เลี้ยงพานักโทษประหารเข้าในศาลาแล้ว จะให้นักโทษนั่งที่เก้าอี้ตัวนี้ พนมมือพร้อมดอกไม้ธูปเทียนไหว้ไปทางพระประธานที่อยู่ในอุโบสถวัดบางแพรกใต้ ช่วงนี้พี่เลี้ยงจะคอยแนะนำให้นักโทษประหารนึกถึงแต่สิ่งดีงามที่เคยทำใว้พร้อมทั้งบอกให้ท่อง “พุทโธ” ไว้ในใจอย่าคิดเรื่องอื่นให้ฟุ้งซ่าน 

จังหวะนี้พี่เลี้ยงคนหนึ่งจะนำผ้าดิบบนโต๊ะมาผูกตานักโทษประหารให้แน่นสนิท เพื่อป้องกันการมองเห็นภายในห้องประหาร ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการหวาดกลัวและคลุ้มคลั่งขึ้นได้ แล้วพี่เลี้ยงจะช่วยกันประคองลุกขึ้นพาเดินเข้าไปที่ห้องประหาร

ภายในห้องประหาร มีแท่นปืนตั้งอยู่ 2 แท่น มีอาวุธปืนวางติดตั้งอยู่บนแท่น 2 กระบอก ซึ่งอาวุธปืนที่ใช้ในการประหารคือ ปืนเอชเค.เอ็มพี.ไฟท์ ใช้กระสุนขนาด 9 มม.พาราเบลลั่มชนิดหัวแข็ง ติดท่อเก็บเสียงจำนวน 2 กระบอก (เวลายิงยังสามารถได้ยินเสียงปืน แต่ไม่มากนัก) 

ถัดจากแท่นปืนเข้าไปประมาณ 6 เมตร จะมีหลักไม้เป็นรูปไม้กางเขน สูงประมาณ 1.80 เมตร ตั้งเรียงตรงกันกับแท่นปืนจำนวน 2 หลัก ที่กลางหลักมีแท่นไม้ยื่นออกมา 1 ท่อน สามารถถอดใส่ตามความสูงต่ำได้ 3 ระดับ หลักไม้ทั้ง 2 หลักนี้มีชื่อเรียกว่า “หลักประหาร” 

ถัดจากหลักประหารเข้าไปประมาณ 1 เมตรมีกระสอบทรายวางเรียงอยู่ติดกับผนังห้อง มีความสูงประมาณ 2 เมตร ด้านขวามือภายในห้องประหารจะมีห้องเล็กอยู่ 1 ห้อง กว้างประมาณ 1.50 เมตร ยาวประมาณ 3.50 เมตร เป็นห้องโล่งว่างเปล่า(บางครั้งใช้เก็บโลงศพเปล่าด้วย)

เมื่อพี่เลี้ยงประคองนักโทษเข้ามาถึงหลักประหารแล้ว ถ้าเป็นการประหารเพียงรายเดียวจะใช้หลักประหารด้านขวามือหรือ “หลักที่ 1” 

แต่ถ้ามากกว่า 1 รายขึ้นไป จะใช้หลักประหารด้านซ้ายมือหรือ “หลักที่ 2” ร่วมทำการประหารด้วย 

พี่เลี้ยงจะจับให้นักโทษประหารนั่งบนแท่นไม้ที่ปรับระดับตามขนาดความสูงของตัวนักโทษผู้นั้น การนั่งจะต้องให้ขาทั้ง 2 ข้างลอยพ้นจากพื้นไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ และต้องหันหน้าเข้าหาหลักประหาร โดยมีแท่นปืนตั้งอยู่ที่ด้านหลังของนักโทษประหาร 

พี่เลี้ยงจะจับให้นักโทษเอามือโอบรอบหลักประหาร โดยให้ศอกทั้ง 2 ข้างวางบนไม้กางเขนซึ่งสูงเสมอไหล่ของนักโทษ

ต่อจากนั้นพี่เลี้ยงจะทำการมัดตัวของนักโทษ ให้ติดกับหลักประหารด้วยด้ายดิบทั้งหมด 5 จุดด้วยกันคือ ที่เอว ที่หน้าอก ให้ติดกับเสาหลักประหารที่ข้อศอกทั้ง 2 ข้าง ให้ติดกับไม้กางเขนทั้ง 2 ด้าน และที่ข้อมือในลักษณะที่พนมมือโอบรอบเสามีดอกไม้ธูปเทียนอยู่ภายในอุ้งมือด้วย 

การมัดตัวนักโทษให้ติดกับหลักประหารทั้ง 5 จุดนี้ ต้องมัดให้แน่นจนนักโทษไม่สามารถขยับตัวได้ เสร็จแล้วจะเชิญแพทย์มาชี้จุดที่ตั้งของหัวใจบริเวณแผ่นหลังของนักโทษประหาร เมื่อได้จุดที่ตั้งของหัวใจแล้ว พี่เลี้ยงจะใช้ช็อล์กกากบาทจุดไว้ 

ต่อจากนั้นจะยกแผงผ้าม่านซึ่งมีขนาดความกว้างประมาณ 1.20 เมตร สูงประมาณ 2.00 เมตร มาตั้งที่ด้านหลังของนักโทษประหาร โดยให้ห่างประมาณ 1 ฟุต 

ที่แผงผ้าม่านนี้จะมีเป้าตาวัวติดอยู่ตรงกลางผืนผ้าม่าน 1 เป้า หันหน้าเป้าเข้าหาแท่นปืนและสามารถขยับเป้าขึ้นลงได้โดยการเลื่อนผ้าม่านขึ้นลง ที่กรอบของแผงผ้าม่านจะมีแผ่นไม้ขนาดความกว้างประมาณ 2 นิ้ว หนาประมาณครึ่งนิ้ว ตีล้อมรอบแผงผ้าม่านตามแนวนอน สามารถขยับแผ่นไม้นี้ขึ้นลงได้ ตรงกลางของแผ่นไม้จะมีเดือยยื่นออกมาทั้งสองด้านตรงกัน ด้านหนึ่งจะชี้เข้าหาแผ่นหลังของนักโทษประหาร ส่วนอีกด้านหนึ่งจะชี้เข้าหาแท่นปืน พี่เลี้ยงจะช่วยกันขยับแผ่นไม้นี้ให้เดือยด้านที่ชี้เข้าหานักโทษตรงกับจุดที่ตั้งของหัวใจที่ทำเครื่องหมายไว้ แล้วจับยึดแผ่นไม้นี้ไว้ให้นิ่งสนิทอยู่กับที่ ต่อจากนั้นจะขยับผืนผ้าม่านเลื่อนขึ้นลง โดยให้จุดศูนย์กลางของเป้าตาวัวตรงกับจุดศูนย์กลางของเดือยด้านที่หันเข้าหาแท่นปืน เสร็จแล้วจะเลื่อนแผ่นไม้นี้ขึ้นล็อกเก็บที่ด้านบนของแผงผ้าม่าน จุดศูนย์กลางของเป้าตาวัวจะตรงกับจุดที่ตั้งของหัวใจนักโทษประหารพอดี 

เมื่อตั้งเป้าเสร็จแล้วพี่เลี้ยงจะใช้ทรายแห้งโรยรอบหลักประหาร เพื่อให้ซับเลือดของนักโทษประหารหลังจากถูกยิง ซึ่งจะไหลนองลงมาจากหลักประหารจำนวนมาก และกล่าวขอขมาลาโทษต่อนักโทษประหารอีกครั้งหนึ่ง

ขั้นตอนต่อไปจะเป็นหน้าที่ของพลเล็งปืน ซึ่งพลเล็งปืนจะทำการบรรจุกระสุนใส่แมกกาซีนจำนวน 15 นัด แล้วนำไปเสียบใส่ตัวปืนในช่องเสียบแมกกาซีน ทำการขึ้นลำเลื่อนป้อนกระสุนเข้ารังเพลิงโดยเข้าห้ามไกไว้ 

จากนั้นจะเล็งศูนย์ปืนไปที่จุดศูนย์กลางของเป้าตาวัว เมื่อตรงดีแล้วจะล็อกตัวปืนให้ยึดติดแน่นกับแท่นปืน แล้วแจ้งให้เพชฌฆาตทำการตรวจสอบศูนย์ปืนอีกครั้งหนึ่งว่าตรงเป้าดีแล้วหรือไม่

ในการดำเนินการประหารชีวิต ถ้าทำการประหารชีวิตเพียงรายเดียว จะให้เพชฌฆาตที่ 1 หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “เพชฌฆาตมือหนึ่ง” ทำการประหารชีวิต แต่ถ้าทำการประหารชีวิตมากกว่า 1 รายภายในวันเดียวกัน เพชฌฆาตที่ 2 หรือที่เรียกกันว่า “เพชฌฆาตมือสอง” จะร่วมทำการประหารชีวิตด้วย

เมื่อเพชฌฆาตได้ตรวจสอบศูนย์ปืนว่าตรงกับจุดศูนย์กลางของเป้าตาวัวดีแล้ว เพชฌฆาตจะแจ้งความพร้อมต่อหัวหน้าชุดประหารที่ยืนถือธงแดงอยู่ข้างแท่นปืนด้านขวามือ พร้อมกับทำการปลดห้ามไก 

หัวหน้าชุดประหารเมื่อรับทราบความพร้อมแล้วจะโบกธงแดงลง จังหวะนี้เพชฌฆาตจะทำการเหนี่ยวไกปืนลั่นกระสุนออกไปทันที

ในการยิงแต่ละครั้งจะใช้กระสุนประมาณ 8-10นัด โดยมีวิธียิงเพื่อให้นักโทษประหารสิ้นใจอย่างรวดเร็วที่สุด ไม่ต้องเจ็บปวดทรมาน 

ขั้นแรกเพชฌฆาตจะปลดห้ามไกปืนไปที่ตำแหน่งยิงทีละนัด เมื่อหัวหน้าชุดโบกธงลงแล้ว เพชฌฆาตจะเหนี่ยวไกยิงนัดแรกก่อน เมื่อนักโทษประหารได้ยินเสียงปืนพร้อมกับกระสุนนัดแรกผ่านทะลุร่างไป จะสะดุ้งขึ้นสุดตัวแล้วร่างจะทรุดลงทันที

ในจังหวะที่ร่างของนักโทษประหารทรุดลงนี้ จะเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เพชฌฆาตรัวนิ้วยิงออกมาเป็นชุด กระสุนจะพุ่งเข้าสู่ร่างนักโทษประหารหลายจุด ถ้าหากกระสุนนัดแรกไม่ตรงหัวใจดีพอ นัดต่อไปก็จะทำให้สิ้นใจได้ในทันที 

แต่ถ้าทำการปลดห้ามไกไปที่ตำแหน่งยิงเป็นชุด(ปืนกล) กระสุนที่พุ่งออกไปตอนเหนี่ยวไก จะออกไปจำนวนหลายนัดเร็วมากแทบจะได้ยินเป็นเสียงเดียวกัน เมื่อกระสุนผ่านร่างของนักโทษประหาร บาดแผลจะอยู่ที่ตำแหน่งเดียว ถ้าหากไม่ตรงกับตำแหน่งหัวใจพอดีนักโทษประหารอาจไม่สิ้นใจทันที ทำให้ต้องทำการยิงซ้ำในภายหลังอีก

หลังจากเพชฌฆาตทำการยิงแล้วประมาณ 3-5 นาที แพทย์และพี่เลี้ยงจะเข้าไปตรวจดูร่างของนักโทษประหารว่าสิ้นใจแล้วหรือยัง พี่เลี้ยงจะเปิดผ้าผูกตาของนักโทษออก เพื่อให้แพทย์ตรวจดูม่านตาและตรวจเช็คชีพจรข้างลำคอ 

ถ้ามีอาการบ่งบอกว่านักโทษประหารรายใดยังไม่สิ้นใจ แพทย์และพี่เลี้ยงจะแจ้งให้หัวหน้าชุดประหารทราบ 

หัวหน้าชุดประหารจะสั่งการให้เพชฌฆาตผู้ทำหน้าที่ในหลักประหารนั้น ทำการยิงซ้ำอีกชุดหนึ่ง เสร็จแล้วแพทย์และพี่เลี้ยงจะเข้าไปตรวจดูอีกครั้ง ถ้านักโทษประหารสิ้นใจแล้วแพทย์และพี่เลี้ยงจะแจ้งให้หัวหน้าชุดประหารทราบอีกเช่นกัน

เมื่อหัวหน้าชุดประหารรับทราบ ก็จะสั่งการให้พี่เลี้ยงเป็นผู้นำร่างของนักโทษลงจากหลักประหาร

วิธีการนำร่างของนักโทษลงจากหลักประหาร พี่เลี้ยงจะขออโหสิกรรมกับร่างของนักโทษที่สิ้นใจอยู่ที่หลักประหารอีกครั้ง แล้วจะใช้มีดที่เตรียมมา ตัดด้ายดิบที่ใช้มัดร่างของนักโทษประหาร 

เริ่มจากตัดด้ายดิบที่ใช้มัดข้อมือก่อน พร้อมกับนำดอกไม้ธูปเทียนที่อยู่ในมือนักโทษประหารวางไว้บนกระสอบทราย แล้วจึงตัดด้ายดิบที่ข้อศอก 

ในช่วงนี้พี่เลี้ยงนายหนึ่งจะกดที่หลังของนักโทษประหารไว้ให้ร่างติดกับหลัก เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างของนักโทษหงายหลังลงมา จากนั้นจะตัดด้ายดิบที่เอว ขั้นสุดท้ายคือการตัดด้ายดิบที่หน้าอกซึ่งมีเลือดติดอยู่จำนวนมาก การตัดพี่เลี้ยงผู้ทำการตัดจะแจ้งให้พี่เลี้ยงอีกทั้ง 2 นายทราบก่อน เพื่อระวังไม่ให้ด้ายดิบที่ชุ่มเลือดสบัดไปถูกร่างกายหรือเครื่องแบบของตนได้ 

เมื่อด้ายดิบที่หน้าอกได้ขาดแล้ว ร่างของนักโทษประหารจะทรุดฮวบลงทันที พี่เลี้ยงจะช่วยกันประคองร่างของนักโทษลงจากหลักประหารแล้วจับพลิกร่างให้นอนคว่ำหน้าลง เพื่อความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่พิมพ์ลายนิ้วมือ 

การจับพลิกร่างต้องระวังไม่ให้ศรีษะของนักโทษประหารกระแทกพื้น 

ต่อจากนั้นจะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนประวัติผู้ต้องขัง ทำการพิมพ์ลายนิ้วมือร่างของนักโทษประหารอีกครั้งหนึ่ง เพื่อยืนยันว่าเป็นบุคคลเดียวกันตามคำสั่งให้ประหารชีวิต

ในกรณีที่มีการประหารชีวิตมากกว่า 1 ราย เช่น เมื่อครั้งที่มีการประหารชิวิตนักโทษคดียาเสพติดจำนวน 4 ราย นักโทษคดีจ้างวานฆ่าผู้อื่น 1 ราย รวม 5 รายภายในวันเดียวกัน การนำนักโทษเข้าสู่หลักประหาร จะใช้วิธีแบ่งนักโทษออกเป็น 3 ชุด 

ชุดแรกเริ่มจากนำนักโทษเข้าสู่หลักประหารรายเดียวก่อน โดยใช้หลักประหารหลักที่ 1 เพชฌฆาตมือหนึ่งเป็นผู้ทำการยิง เมื่อนำร่างของนักโทษประหารที่สิ้นใจแล้วลงจากหลัก พี่เลี้ยงจะนำร่างของนักโทษไปเก็บไว้ภายในห้องเล็กที่อยู่ภายในห้องประหารก่อน 

การประหารชุดที่ 2 พี่เลี้ยงจะนำนักโทษเข้าสู่หลักประหารพร้อมกัน 2 ราย ใช้หลักประหารที่ 1 และ 2 พร้อมกัน โดยเพชฌฆาตมือหนึ่งและเพชฌฆาตมือสอง จะเป็นผู้ทำการยิงพร้อมกัน เสร็จแล้วพี่เลี้ยงจะนำร่างของนักโทษประหารที่สิ้นใจแล้ว ไปเก็บไว้ภายในห้องเล็กอีก 

การประหารชุดที่ 3 พี่เลี้ยงจะนำนักโทษเข้าสู่หลักประหารพร้อมกัน 2 รายเช่นเดียวกับชุดที่ 2 โดยมีเพชฌฆาตมือหนึ่งและเพชฌฆาตมือสอ เป็นผู้ทำการยิงพร้อมกันเช่นเดิม แต่เมื่อนำร่างของนักโทษลงจากหลักประหารแล้ว พี่เลี้ยงจะพลิกร่างของนักโทษประหารให้นอนคว่าหน้า บริเวณหน้าหลักประหาร แล้วไปนำร่างของนักโทษประหารทั้งหมดที่เก็บไว้ในห้องเล็ก ออกมานอนคว่ำหน้าเรียงไว้ที่หน้าหลักประหารเช่นเดียวกัน เสร็จแล้วจึงเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่พิมพ์ลายนิ้วมือเช่นเดิม จากนั้นจะปิดล็อกห้องประหารไว้ 1 คืน โดยมีร่างของนักโทษประหารอยู่ภายใน

วันรุ่งขึ้นนักโทษชั้นเยี่ยมที่สมัครใจ จะไปล้างคราบเลือดภายในห้องประหาร ตัดโซ่ตรวนที่ขาของร่างนักโทษประหาร แล้วนำร่างของนักโทษประหารออกมาอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดที่บริเวณหน้าห้องประหาร 

เสร็จแล้วจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ใหม่ ทำการห่อผ้าขาวมัดตราสังข์ แล้วนำบรรจุลงโลงศพ ปิดฝาโลง เขียนชื่อและเลขหมายประจำตัวของนักโทษประหารที่หัวโลง 

จากนั้นจะนำโลงศพที่มีร่างของนักโทษประหาร ออกทางประตูผีซึ่งทาสีแดงและอยู่ติดกับห้องประหาร นำไปเก็บไว้ในช่องเก็บศพที่สร้างไว้สำหรับนักโทษประหารโดยเฉพาะ ภายในวัดบางแพรกใต้ เพื่อรอให้ญาติมารับไปดำเนินการ 

แต่ถ้าภายในระยะเวลา 2 ปีศพของนักโทษประหารรายใดไม่มีญาติมารับไปดำเนินการ ทางเรือนจำจะนำศพของนักโทษประหารเหล่านั้น มาประกอบพิธีทางศาสนาและทำการฌาปนกิจให้ พร้อมกับทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่นักโทษประหารเหล่านั้น

ในกรณีที่นักโทษประหารนับถือศาสนาอื่น ทางเรือนจำจะทำการติดต่อโบสถ์หรือสุเหร่าที่ใกล้ที่สุด เพื่อขอให้มารับศพไปดำเนินการตามหลักศาสนาต่อไป

http://www.youtube.com/watch?v=BUdpACx-SL8http://www.youtube.com/watch?v=So2ebb2PVuYโดยล่าสุดที่มี 72 ประเทศสมาชิกให้สัตยาบันเนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปีสนธิสัญญายกเลิกข้อกฎหมายลงโทษด้วยการประหารชีวิต ทำให้เห็นว่ารัฐปกครองส่วนใหญ่จากที่เคยปฏิบัติก็กลายเป็นรัฐปกครองส่วนน้อย แม้พบว่าในหลายประเทศยังประสบความยุ่งยาก 
การประหารชีวิตนั้นถูกต่อต้านมากในกระแสสังคมโลกปัจจุบันที่หัมมาใช้ระบบสิทธที่เท่าเทียมกัน ซึ่งในที่นี้รัฐบาลรัสเซียก็เพิ่งประกาศสั่งห้ามการลงโทษตัดสินประหารชีวิตเมื่อเดือนพ .ย.ที่ผ่านมา ขณะที่องค์กรนิรโทษสากลเผยตัวเลขผู้ต้องหาที่ถูกประหารชีวิตใน 25 ประเทศเมื่อปี 2552 มีจำนวน 2,390 ราย และส่วนใหญ่ก็มาจากเพียง 5 ประเทศ ได้แก่ จีน สหรัฐฯ อิหร่าน ซาอุดิ อาระเบียและปากีสถาน 
การประหารชีวิตนั้นไม่ได้เพียงแค่เป็นการลงโทษทางรูปธรรมอย่างเดียวแต่ยังเป็นไปในทางด้านจิตวิทยาอีกด้วย เพราะการประหารแน่นอนนั้นคือการลงโทษผู้กระทำผิดแต่ในเวลาเดียวกันนั้นการประหารก็ยังเป้นการเจตือนให้คนที่อยู่รอบหรือรู้เห็นนั้นตระหนักและหวาดกลัวที่จะกระทำความผิด เพราะถ้าหากกระทำคุรอาจพบจุดจบเช่นนี้ แต่ท้ายที่สุดการประหารก็ยังเป็นแค่การลงโทที่ผ่ามมาและผ่านไป เพราะหากการประหารนั้นทำให้ผู้คนรอบข้างเกรงกลัวจริงดังที่คิด อาชญากรรมก็คงต้องลดลงและลองคิดดูกันเล่นๆนะ ว่าหากเราไม่มีการประหารเลยมันจะเป็นยังไงไปคิดกันเอง ขนาดเนื้อร้ายยังต้องตัดแล้วนี้ละ...............
http://www.youtube.com/watch?v=tDWQVymGoIk&feature=related